หน้าเว็บ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ผลไม้เป็นอาหาร


            
                    Harvey และ Marilyn Diamond สองสามีภรรยาชาวอเมริกันได้แต่งหนังสือเรื่อง Fit for life เมื่อปี 1987 ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมมากพอสมควรในสหรัฐอเมริกา Harvey เป็นนักโภชนาการและสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยใน Santa Barbara มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนภรรยาของเขานั้นก็ทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางด้านโภชนาการให้กับสถาบันแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียเช่นเดียวกัน
      
                    Harvey กล่าวว่า โดยส่วนใหญ่พวกเรามักนึกถึงผลไม้ในฐานะที่เป็นของหวาน หรือเป็นของว่างหรือเอาไว้แก้เลี่ยน หลังรับประทานอาหารแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างมาก และเรื่องที่เขาเขียนขึ้นนี้จะเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้คุณต้องหันมาทบทวนหรือลบล้างความคิดเดิมๆกันเลยทีเดียว




                         คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยกินผลไม้ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จริงๆว่า ผลไม้มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร เมื่อไรที่ควรกินและจะกินอย่างไร เมื่อพฤษภาคม 1979 Dr.Alan Walker นักมานุษยวิทยาได้นำเสนอเรื่องราวการบริโภคอาหารของมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ลงในหนังสือ New York Times ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สร้างความตระหนกตกใจให้กับพวกแพทย์ นักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารอย่างมากเพราะ Dr.Walker  ค้นพบว่า บรรพบุรุษของมนุษย์ในอดีตนั้น มิได้เป็นพวกสิ่งมีชีวิตที่กินเนื้อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์ (omnivorous) อย่างที่พวกเราเข้าใจกันมาช้านาน ทว่าพวกเขาดำรงชีวิตด้วยการกินผลไม้เป็นอาหารหลัก  ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากซากฟอสซิล และฟัน  เพราะร่องรอยที่ปรากฏบนฟันของมนุษย์ที่กินผลไม้กับกินเนื้อสัตว์นั้นจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน


                        ต้องเป็นผลไม้สดเท่านั้น     ความสดของผลไม้หรือน้ำผลไม้เป็นองค์ประกอบทีสำคัญมากข้อหนึ่ง  เพราะคุณค่าอาหารที่มีอยู่ในผลไม้นั้นจะถูกทำลายด้วยความร้อนในกระบวนการปรุงแต่งหรือแปรรูป แม้กระทั่งการหมักดองผลไม้ให้มีรสชาดดีขึ้นด้วยกรรมวิธีต่างๆ นอกจากคุณค่าอาหารจะถูกทำลายแล้วยังมีโอกาสปวดท้องหรือท้องเดินอันเนื่องมาจากกระบวนการปรุงแต่งที่ไม่สะอาดหรือการแปรรูปที่ทำให้ผลไม้มีสภาพเป็นกรดอีกด้วย
            

  เมื่อไหร่ควรกินและเมื่อไหร่ไม่ควรกิน      หลักง่ายๆที่ควรรู้และจดจำให้ขึ้นใจก่อนก็คือ
1.   คุณสามารถกินผลไม้ได้ในขณะท้องว่าหลังกินผลไม้แล้ว 20-30 นาทีจึงจะกินอาหารชนิดอื่น (ผลไม้บางชนิดอาจใช้เวลาในกระบวนการย่อยสลายน้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้เล็กน้อย เช่น กล้วย อาจใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง

2.     หลังรับประทานอาหารในแต่ละมื้อควรปล่อยให้มีเวลาว่างเว้นก่อนที่จะรับประทานผลไม้เป็นอันดับต่อไป  ซึ่งระยะเวลาควรจะยาวนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่คุณรับประทานว่า จะใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารมากน้อยแค่ไหน  หากเป็นอาหารประเภทผักสด  เช่น สลัด ก็จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้าเป็นมื้ออาหารที่ปรุงอย่างได้ส่วนเหมาะสม มีส่วนประกอบพวกเส้นใย (fiber) มากหน่อย เช่น  อาหารพวกน้ำพริกจิ้มผักสด ก็อาจจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง  แต่ถ้าเป็นมื้ออาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบหลักเช่น สเต็กเนื้อสัน   ไก่ย่าง  เนื้อน้ำตก ฯลฯ   ก็อาจใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง
                     
               
                        ดังนั้นการกินผลไม้ให้ได้ประโยชน์และเป็นผลดีต่อสุขภาพนอกจากจะต้องรู้ว่าควรกินอย่างไรแล้ว    จะต้องรู้ว่าควรกินเมื่อไหร่ด้วย  ซึ่งหมายความว่าจะต้องพิจารณาร่วมไปกับอาหารมื้ออื่นๆ  เพราะอาหารที่คุณกินในมื้อนี้จะส่งผลไปถึงอาหารในมื้อต่อไปของคุณด้วย  จึงต้องมีการวางหรือจัดโปรแกรมอาหารในแต่ละวันให้เหมาะสมและสอดคล้องกัน  ส่วนเรื่องที่ว่าควรจะเป็นอาหารประเภทไหน หรืออย่างไรนั้น คุณก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้โดยอาศัยหลักการการกินข้างต้นเป็นพื้นฐาน

                                   

                  .

.
.
.