หน้าเว็บ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

กินผลไม้ให้ถูกต้อง ต้องกินอย่างไร

ควรกินขณะท้องว่าง

               มีคนเป็นจำนวนมากที่เข้าใจว่า หากกินผลไม้ก่อนอาหารอื่นแล้วจะทำให้เกิดอาการแสบท้องหรือไม่สบายท้อง  ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง  และเป็นการกล่าวโทษอาหารชนิดนี้  โดยที่ไม่ได้มีการศึกษามากพอ  ข้อความข้างต้นได้เคยอธิบายแล้วว่า  ผลไม้ไม่ได้ย่อยสลายในกระเพาะอาหารและจะใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารน้อยมาก   อาการแสบท้องหรือไม่สบายท้องที่เกิดขึ้น   จึงไม่ได้สืบเนื่องมาจากการกินผลไม้ก่อนอาหาร แต่เป็นเพราะในร่างกายหรือกระเพาะอาหารของคุณนั้นมีอาหารอย่างอื่นอยู่ก่อนแล้ว   ซึ่งการมีอาหารอื่นอยู่ในกระเพาะในขณะที่คุณกินผลไม้   จะมีส่วนในการขัดขวางไม่ให้ผลไม้ผ่านเข้าสู่ลำไส้เพื่อการดูดซึมอย่างที่ควรจะเป็นทั้งๆที่ผลไม้ถูกย่อยสลายมาก่อนหน้านั้นแล้วและสามารถผ่านเข้าสู่กระบวนการต่อไปได้อย่างรวดเร็ว  จึงไม่น่าแปลกใจถ้าหากจะมีคนมาบ่นกับคุณว่า  ยังมีอาการแสบท้อง  แม้ว่าจะกินผลไม้หลังอาหารก็ตาม   ซึ่งตรงนี้อธิบายได้ง่ายมากว่า  การที่มีอาหารคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารจำนวนมาก  ในขณะที่กินผลไม้นั้น  นอกจากจะเป็นตัวขัดขวางกระบวนการดูดซึมผลไม้ของร่างกายแล้ว  ยังทำให้ผลไม้ที่ผ่านการย่อยสลายมาก่อนหน้านั้นเกิดการ  ferment  และมีสภาพเป็นกรด  เพราะฉะนั้น  การกินผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดก็คือ   กินในขณะที่ท้องว่าง    ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน  หรือรสออกเปรี้ยว   เช่น  สับปะรด  ส้ม  มังคุด ส้มโอ ฯลฯ   ก็ตาม    และหากคุณอยากจะกินผลไม้หลังมื้ออาหาร นั่นหมายความว่า   คุณควรทอดเวลาไปสักระยะหนึ่ง    เพื่อให้อาหารที่กินก่อนหน้านั้นได้ย่อยสลายในกระเพาะอาหารและผ่านเข้าสู่สำไส้ไปแล้ว


                 นอกจากนี้  ผลไม้ยังเป็นอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายหรือชะล้างของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย  เพราะผลไม้เป็นอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด  และยังมีเกลือแร่และวิตามิน ที่จำเป็นสำหรับร่างกายในปริมาณต่างๆ กัน   ดังนี้


                       กลูโคส                    90  %

                       กรดอะมิโน              4 - 5  %

                       เกลือแร่                   3 - 4  %

                       กรดไขมัน                 1 + %

                       วิตามิน                      <   1 %

           
                  จากตัวเลขข้างต้น     อาจกล่าวได้ว่า  ผลไม้เป็นอาหารชนิดเดียวที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน  ที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ      ได้มีการศึกษาทางชีวเคมี  ที่พบว่ามีผลไม้หลายชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย      เพราะสารที่มีอยู่ในผลไม้จะไปช่วยป้องกันไม่ให้เลือดข้นเกินไปจนเกิดการแข็งตัวและอุดตันผนังหลอดเลือด
                   นอกจากคุณประโยชน์โดยตรงที่มีอยู่ในผลไม้แล้ว  สิ่งที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ  เพื่อให้เราสามารถบริโภคผลไม้ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น  ก็คือ  ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและอาหารที่เรารับประทานเข้าไป  โดยปกติเมื่อคุณรับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกาย  ร่างกายก็จะใช้พลังงานที่มีอยู่  เข้ามาช่วยในกระบวนการย่อยสลาย และดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์กลับเข้าสู่ร่างกาย  ซึ่งกระบวนการย่อยสลายหรือการเผาผลาญอาหารของร่างกายนี้เป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ  พลังงานที่ใช้ย่อยสลายอาหารแต่ละชนิดจะไม่เท่ากัน  ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของอาหารชนิดนั้นๆ  ด้วยมีผลการศึกษาจำนวนมากชี้ชัดว่า คนที่กินน้ำตาลฟรุคโตส  ซึ่งมีอยู่ในผลไม้  ต้องการพลังงานในการย่อยสลายน้อยกว่าคนที่กินน้ำตาลซูโครส  (สารให้ความหวานที่เราใช้กันอยู่โดยทั่วไป  เช่นน้ำตาลทราย)  ที่มีอยู่ในอาหารทั่วไป


                     ประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจในเรื่องนี้ก็คือ  ผลไม้เป็นอาหารที่ต้องการพลังงานในกระบวนการย่อยสลายและดูดซึมน้อยกว่าอาหารชนิดอื่นๆ  โดยเหตุที่กระเพาะอาหารจะเป็นจุดที่มีการใช้พลังงานมากกว่าส่วนอื่นๆ ในร่างกาย  แต่ผลไม้ไม่ได้ย่อยสลายในกระเพาะอาหาร  เพราะมันถูกย่อยมาก่อนหน้านี้แล้ว  ดังนั้นผลไม้ต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น กล้วย  แตงโม  ส้มโอ  ละมุด ฯลฯ     จะใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารสั้นมาก   และสามารถผ่านเข้าสู่สำไส้เล็กได้ภายในเวลาเพียง  20-30  นาทีเท่านั้น  ในขณะที่อาหารประเภทอื่นๆ    จะใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารอย่างต่ำ  1-4  ชั่วโมง  เพราะฉะนั้นพลังงานที่สะสมอยู่ในร่างกาย    จะถูกนำไปใช้มากน้อยแค่ไหนจึงขึ้นอยู่กับว่า  เลือกกินอาหารประเภทไหนและอย่างไร สมมุติว่าคุณกินข้าวผัดไข่หนึ่งจาน    ตามด้วยแตงโมอีก 1 ชิ้นใหญ่  เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง  แตงโมจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการดูดซึมที่ลำไส้แล้ว  ในขณะที่ข้าวผัดยังย่อยสลายอยู่ในกระเพาะอาหาร  ฉะนั้นหากคุณกินผลไม้อย่างถูกต้อง  นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้น้ำและสารอาหารที่จำเป็นแล้ว  ยังใช้พลังงานน้อยอีกด้วย