ควรกินขณะท้องว่าง
มีคนเป็นจำนวนมากที่เข้าใจว่า หากกินผลไม้ก่อนอาหารอื่นแล้วจะทำให้เกิดอาการแสบท้องหรือไม่สบายท้อง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการกล่าวโทษอาหารชนิดนี้ โดยที่ไม่ได้มีการศึกษามากพอ ข้อความข้างต้นได้เคยอธิบายแล้วว่า ผลไม้ไม่ได้ย่อยสลายในกระเพาะอาหารและจะใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารน้อยมาก อาการแสบท้องหรือไม่สบายท้องที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้สืบเนื่องมาจากการกินผลไม้ก่อนอาหาร แต่เป็นเพราะในร่างกายหรือกระเพาะอาหารของคุณนั้นมีอาหารอย่างอื่นอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งการมีอาหารอื่นอยู่ในกระเพาะในขณะที่คุณกินผลไม้ จะมีส่วนในการขัดขวางไม่ให้ผลไม้ผ่านเข้าสู่ลำไส้เพื่อการดูดซึมอย่างที่ควรจะเป็นทั้งๆที่ผลไม้ถูกย่อยสลายมาก่อนหน้านั้นแล้วและสามารถผ่านเข้าสู่กระบวนการต่อไปได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจถ้าหากจะมีคนมาบ่นกับคุณว่า ยังมีอาการแสบท้อง แม้ว่าจะกินผลไม้หลังอาหารก็ตาม ซึ่งตรงนี้อธิบายได้ง่ายมากว่า การที่มีอาหารคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารจำนวนมาก ในขณะที่กินผลไม้นั้น นอกจากจะเป็นตัวขัดขวางกระบวนการดูดซึมผลไม้ของร่างกายแล้ว ยังทำให้ผลไม้ที่ผ่านการย่อยสลายมาก่อนหน้านั้นเกิดการ ferment และมีสภาพเป็นกรด เพราะฉะนั้น การกินผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดก็คือ กินในขณะที่ท้องว่าง ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน หรือรสออกเปรี้ยว เช่น สับปะรด ส้ม มังคุด ส้มโอ ฯลฯ ก็ตาม และหากคุณอยากจะกินผลไม้หลังมื้ออาหาร นั่นหมายความว่า คุณควรทอดเวลาไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้อาหารที่กินก่อนหน้านั้นได้ย่อยสลายในกระเพาะอาหารและผ่านเข้าสู่สำไส้ไปแล้ว
นอกจากนี้ ผลไม้ยังเป็นอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายหรือชะล้างของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย เพราะผลไม้เป็นอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด และยังมีเกลือแร่และวิตามิน ที่จำเป็นสำหรับร่างกายในปริมาณต่างๆ กัน ดังนี้
กลูโคส 90 %
กรดอะมิโน 4 - 5 %
เกลือแร่ 3 - 4 %
กรดไขมัน 1 + %
วิตามิน < 1 %
จากตัวเลขข้างต้น อาจกล่าวได้ว่า ผลไม้เป็นอาหารชนิดเดียวที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน ที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ได้มีการศึกษาทางชีวเคมี ที่พบว่ามีผลไม้หลายชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย เพราะสารที่มีอยู่ในผลไม้จะไปช่วยป้องกันไม่ให้เลือดข้นเกินไปจนเกิดการแข็งตัวและอุดตันผนังหลอดเลือด
นอกจากคุณประโยชน์โดยตรงที่มีอยู่ในผลไม้แล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้เราสามารถบริโภคผลไม้ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและอาหารที่เรารับประทานเข้าไป โดยปกติเมื่อคุณรับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายก็จะใช้พลังงานที่มีอยู่ เข้ามาช่วยในกระบวนการย่อยสลาย และดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์กลับเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกระบวนการย่อยสลายหรือการเผาผลาญอาหารของร่างกายนี้เป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ พลังงานที่ใช้ย่อยสลายอาหารแต่ละชนิดจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของอาหารชนิดนั้นๆ ด้วยมีผลการศึกษาจำนวนมากชี้ชัดว่า คนที่กินน้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งมีอยู่ในผลไม้ ต้องการพลังงานในการย่อยสลายน้อยกว่าคนที่กินน้ำตาลซูโครส (สารให้ความหวานที่เราใช้กันอยู่โดยทั่วไป เช่นน้ำตาลทราย) ที่มีอยู่ในอาหารทั่วไป
ประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจในเรื่องนี้ก็คือ ผลไม้เป็นอาหารที่ต้องการพลังงานในกระบวนการย่อยสลายและดูดซึมน้อยกว่าอาหารชนิดอื่นๆ โดยเหตุที่กระเพาะอาหารจะเป็นจุดที่มีการใช้พลังงานมากกว่าส่วนอื่นๆ ในร่างกาย แต่ผลไม้ไม่ได้ย่อยสลายในกระเพาะอาหาร เพราะมันถูกย่อยมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นผลไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้วย แตงโม ส้มโอ ละมุด ฯลฯ จะใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารสั้นมาก และสามารถผ่านเข้าสู่สำไส้เล็กได้ภายในเวลาเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น ในขณะที่อาหารประเภทอื่นๆ จะใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารอย่างต่ำ 1-4 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นพลังงานที่สะสมอยู่ในร่างกาย จะถูกนำไปใช้มากน้อยแค่ไหนจึงขึ้นอยู่กับว่า เลือกกินอาหารประเภทไหนและอย่างไร สมมุติว่าคุณกินข้าวผัดไข่หนึ่งจาน ตามด้วยแตงโมอีก 1 ชิ้นใหญ่ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง แตงโมจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการดูดซึมที่ลำไส้แล้ว ในขณะที่ข้าวผัดยังย่อยสลายอยู่ในกระเพาะอาหาร ฉะนั้นหากคุณกินผลไม้อย่างถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้น้ำและสารอาหารที่จำเป็นแล้ว ยังใช้พลังงานน้อยอีกด้วย